เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 สํานักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า บริษัท แกร็บ โฮลดิ้งส์ อิงค์ (Grab Holding) ได้ประกาศปิดสำนักงานในประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย เป็นระยะเวลา 5 วัน เพื่อฆ่าเชื้อทำความสะอาด หลังจากพบว่า ผลตรวจเลือดของพนักงานประจำสาขาสิงคโปร์ ที่เดินทางมาทำธุระที่สำนักงานประเทศไทยเป็นบวก คือติดเชื้อโควิด-19
“พนักงานประจำสาขาที่สิงคโปร์ติดเชื้อโควิด-19 พนักงานคนดังกล่าวได้รับการตรวจพบผลเลือดเป็นบวกเมื่อวันที่ 7 มีนาคม
และปัจจุบันอยูในความดูแลของโรงพยาบาลแล้ว” ตัวแทนบริษัทแกร็บกล่าวในแถลงการณ์ การติดเชื้อเกิดขึ้นหลังจาก เฟสบุ๊ก อิงค์ (Facebook Inc.) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ตึกเดียวกันกับบริษัทแกร็บในสิงคโปร์ยืนยันว่า มีพนักงานที่ติดเชื้อไวรัสแล้ว ทางเฟสบุ๊กกล่าวว่า ได้ปิดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพื่อทำความสะอาด และให้คพนักงานที่ทำงานในพื้นที่บริเวณนั้น ทำงานที่บ้านจนถึงวันที่ 13 มีนาคม บริษัทในสหรัฐอเมริกายังปิดสำนักงานในลอนดอนจนถึงวันจันทร์ เพื่อทำความสะอาดเพราะพนักงานคนดังกล่าวได้มาทำธุระที่นี่ในเดือนกุมภาพันธ์
Kodaline วงดนตรีไอริชร็อกเตรียมตัวปล่อยผลงานอัลบั้มใหม่ชุดที่สี่ในปีนี้ หลังจากที่พวกเขาส่งซิงเกิลแรกออกมา “Wherever You Are” ด้วยยอดการสตรีมมิ่งไปแล้วกว่า 6 ล้านครั้งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มิวสิควิดีโอก็มียอดวิวไปแล้วกว่า 3 ล้านวิว ไม่เพียงเท่านั้น Kodaline ยังมีโชว์การแสดงในช่วงซัมเมอร์นี้ที่โรงละคร Olympia Theatre ในดับลิน ด้วยปรากฏการณ์ที่มีผู้ชมให้การตอบรับอย่างดีมาก จนทำให้โชว์ของ Kodaline กลายเป็นวงประวัติศาสตร์ของโรงละครนี้ที่มีจำนวนการขายบัตรหมดเกลี้ยงใน 7 รอบการแสดง
ล่าสุด Kodaline ได้ส่งซิงเกิลใหม่ “Sometimes” ในดนตรีสไตล์ Acoustic Folk ออกมาให้แฟนเพลงของเขากันต่อเนื่อง โดยเพลงนี้สตีฟนักร้องนำได้กล่าวไว้ว่า “ผมเขียนเพลงนี้ขึ้นมาในช่วงที่กำลังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชียเมื่อปีที่ผ่านมา มันเป็นวันแย่ๆ ที่ผมต้องรับมือจัดการกับปัญหาความวิตกกังวลของผม และสิ่งที่ผมทำก็คือการปล่อยให้มันเป็นไปแล้วมันก็จะดีขึ้นเอง ผมจึงเริ่มเขียนเพลงนี้ขึ้นมาในห้องที่ผมพักในโรงแรมเพื่อสงบจิตใจของผมให้เย็นลง เพลงคือสิ่งที่ช่วยให้ผมผ่านมันไปได้ดีเสมอ สำหรับผมแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการยอมรับในวันที่แย่ๆนั้น และพยายามที่จะอยู่กับมันด้วยทัศนคติที่ดี”
คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา อิตาลีประกาศว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 97 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมจากไวรัสโคโรนาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 463 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันก็เพิ่มขึ้นเป็น 9,172 คนจาก 7,375 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และมีการยืนยันพบผู้ติดเชื้อในทั้ง 20 แคว้นของประเทศอิตาลีแล้ว ทำให้อิตาลีกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาหนักที่สุดรองจากจีน
พนักงานแม็คฯ ญี่ปุ่น ติดโควิด-19 หลังผู้บริหารห้ามพนง.สวมแมส
จากกรณีที่ผู้บริหารแม็คโดนัลด์ได้ออกกฎห้ามพนักงานสวมหน้ากาก ในขณะที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 เนื่องจากให้เหตุผลว่าลูกค้าจะไม่เห็นรอยยิ้ม จนทำให้หลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยถึงการกระทำดังกล่าว
ล่าสุดวันนี้ (6 มี.ค.) สื่อญี่ปุ่นอย่าง Nhk news web ได้รายงานว่า พนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหญิงวัย 50 ปี ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโคโรน่าไวรัส ขณะทำงานอยู่ที่ แม็คโดนัลด์ Kichijoin ประเทศญี่ปุ่น จากการตรวจสอบว่า ผู้ติดเชื้อได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านที่ Miyakojima-ku ในเมืองโอซาก้า ซึ่งคาดว่าโควิด-19 ระบาดเป็นเวลาสองวันแล้ว หลังจากกลับมา มีอาการไข้ขึ้นสูงกว่า 37 องศา และผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อ
หลังจากที่ทางแม็คโดนัลด์ทราบข่าวดังกล่าว ก็ได้ทำการตรวจสุขภาพพนักงาน 22 คนที่ทำงานร่วมกัน และทำความสะอาดฆ่าเชื้อร้านตามคำแนะนำของศูนย์สาธารณสุข ก่อนที่แม็คโดนัลด์จะออกมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 โดยกล่าวว่า
“เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน พร้อมทั้งร่วมมือตรวจสอบและดำเนินการตามศูนย์สาธารณสุขเมืองเกียวโต อีกทั้งเสริมสร้างการป้องกันการติดเชื้อ” และได้เปลี่ยนกฎให้พนักงานสวมหน้ากากให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำเอาแฮชแท็ก #RIPTwitter ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทั่วโลก หลังจากที่ทางทวิตเตอร์ (Twitter) เครือข่ายโซเชียลยอดฮิต ออกฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “Fleets” ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับโพสต์ในแอปพลิเคชันสแนปแชต (Snapchat) หรือ Stories ในแอปอินสตาแกรม (Instagram)
โดยฟีเจอร์นี้ทำให้บางข้อความหายไปภายใน 24 ชม. มีการเปิดทดสอบที่แรก และที่เดียวในประเทศบราซิล แต่หลังจากที่ให้ทดสอบใช้ ดูเหมือนว่าชาวทวิตเตอร์จะไม่ค่อยชอบใจกับฟีเจอร์นี้มากนัก เนื่องจากมองว่าฟีเจอร์ดังกล่าวไม่เหมาะที่จะใช้กับทวิตเตอร์ เพราะเป็นข้อความ อีกทั้งยังสามารถลบข้อความได้อยู่แล้วหากต้องการ
หลังจากที่เปิดตัวฟีเจอร์นี้ออกไป ก็ทำให้เกิดแฮชแท็ก #RIPTwitter ติดเทรนด์ทั่วโลก มีชาวทวิตเตอร์พูดถึงประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง มากกว่า 1.15 แสนข้อความ ผู้ใช้จำนวนมากบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟีเจอร์ใหม่นี้ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับโซเชียลมีเดียอื่นๆ มากเกินไป และสิ่งที่ต้องการมากกว่าคืออยากให้ข้อความที่ทวิตไปสามารถ edit สำหรือแก้ไขข้อความได้ ในกรณีที่ทวีตผิด หรือตกหล่น น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป